ประวัติศาสตร์ ศิลปะบนผืนผ้า
ผ้าบาติกหรือผ้าปาเต๊ะ
เป็นคำที่เรียกผ้าชนิดที่มีการทำโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี
และใช้วิธีการแต้ม ระบาย หรือย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี
ผ้าบาติกบางชิ้นอาจจะผ่านขั้นตอนการปิดเทียน แต้มสี ระบายสี และย้อมสีนับสิบๆครั้ง
ส่วนผ้าบาติกอย่างง่ายอาจทำโดยการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียน
แล้วจึงนำไปย้อมสีที่ต้องการ
คำว่า”บาติก” ( Batik)
หรือ “ปาเต๊ะ” ( Batek) มาจากคำว่า Ba
= Art และ Tik = จุด เดิมเป็นคำในภาษาชวา
ใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายเป็นจุด คำว่า “ติก” มีความหมายว่า
เล็กน้อยหรือจุดเล็กๆมีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า ตริติก หรือตาริติก
ดังนั้นคำว่า บาติก จึงมีความหมายว่าเป็นงานศิลปะบนผ้าที่มีลวดลายเป็นจุดด่างๆ
วิธีการทำผ้าบาติกในสมัยดั้งเดิมใช้วิธีการเขียนด้วยเทียน (Wax
writing /Wax hand draw) ดังนั้น
ผ้าบาติกจึงเป็นลักษณะผ้าที่มีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดในส่วนที่ไม่ต้อง
การให้ติดสี และใช้วิธีระบาย แต้มและย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี
แม้ว่าวิธีการทำผ้าบาติกในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตามแต่ลักษณะเฉพาะ
ประการหนึ่งของผ้าบาติก ก็คือ
จะต้องมีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีหรือส่วนที่ไม่ ต้องการให้ติดสีซ้ำอีก
แหล่งกำเนิด
แหล่งกำเนิดของผ้าบาติกมาจากไหนยังไม่เป็นที่ยุติ
นักวิชาการชาวยุโรป
หลายคนเชื่อว่ามีในอินเดียก่อนแล้วจึงแพร่หลายเข้าไปในอินโดนีเซีย
อีกหลายคนเชื่อว่ามาจากอียิปหรือเปอร์เซีย
แม้ว่าจะได้มีการค้นพบผ้าบาติกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศอื่นๆ
ทั้งอียิป อินเดีย และญี่ปุ่น แต่บางคนก็ยังเชื่อว่า
ผ้าบาติกเป็นของดั้งเดิมของอินโดนีเซีย
และยืนยันว่าศัพท์เฉพาะที่เรียกวิธีการและขั้นตอนการทำผ้าบาติก
เป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย สีที่ใช้ย้อมก็เป็นพืชที่มีในประเทศอินโดนีเซีย
แท่งขี้ผึ้งที่ใช้เขียนลายก็เป็นของอินโดนีเซีย ไม่เคยมีในอินเดียเลย
เทคนิคที่ใช้ในอินโดนีเซียสูงกว่าที่ทำกันในอินเดีย และจากการศึกษาค้นคว้าของ N.J.
Kron นักประวัติศาสตร์ชาวดัทช์
ก็สรุปไว้ว่าการทำโสร่งบาติกหรือโสร่งปาเต๊ะ
เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนติดต่อกับอินเดีย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือบุหงารำไปหน้า 1 ไว้ว่า
แม้ว่าจะมีการค้นพบลักษณะผ้าบาติกในดินแดนอื่นๆ นอกจากอินโดนีเซีย
แต่ก็คงเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่น วิธีการปลีกย่อยจะแตกต่างกัน
ตามวิธีการทำผ้าของชาติต่างๆ ที่จะให้มีลวดลายสีสันผ้าบาติกของอินโดนีเซียก็น่าจะ
มีกำเนิดในอินโดนีเซียเอง คงไม่ได้รับการถ่ายทอดจากชาติอื่นๆส่วนการทำผ้าโปร่งบาติกนั้นคงมีกำเนิดจากอินโดนีเซียค่อนข้างแน่นอน
วิวัฒนาการการทำผ้าบาติกในอินโดนีเซีย
การทำผ้าบาติกในระยะเวลาแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหรือทำเฉพาะในวังแต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่า
น่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ
ผู้ที่ทำผ้าบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนา
ในคริสต์ศวรรษที่ 12
ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติกด้านการแก้ไขวิธีการผสมสี
แต่ทั้งนี้ก็วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 การทำผ้าบาติกผูกขาดโดยสุลต่านและถือว่าการทำผ้าบาติกเป็นศิลปะในราชสำนัก
โดยมีสตรีในราชสำนักเป็นผู้ผลิต ผ้าบาติกในยุคนี้เรียกว่า “คราทอน” (Karton)
เป็นผ้าบาติกที่เขียนด้วยมือ( Batik Tulis ) แต่เมื่อผ้าบาติกได้รับความนิยมมากขึ้นและมีลูกค้ามากมาย
การทำผ้าบาติกได้ขยายวงกว้าง
มากขึ้นการผูกขาดโดยครอบครัวสุลต่านก็สิ้นสุดลงศิลปะการทำผ้าบาติก
ได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไป
ผ้าบาติกในระยะแรกมีเพียงสีครามและสีขาว
ในศตวรรษที่ 17 ได้มีการค้นพบสีต่างๆอีก เช่น สีแดง สีน้ำตาล
สีเหลือง สีต่างๆ เหล่านี้ได้มาจากพืชทั้งสิ้น
ต่อมาก็รู้จักผสมสีเหล่านี้ทำให้ออกมาเป็นสีต่างๆ ภายหลังจึงมีการค้นพบสีม่วง
สีเขียว และสีอื่นๆ อีกในระยะปลายศตวรรษที่ 17 ได้มีการสั่งผ้าลินินสีขาวจากต่างประเทศเข้ามา
นับเป็นความก้าวหน้าในการทำผ้าบาติกอีกก้าวหนึ่งโดยเฉพาะเทคนิคการระบายสี ผ้าบาติก
เพราะเริ่มมีการใช้สีเคมีในการย้อมการระบายสี
ซึ่งสามารถทำให้ผลิตผ้าบาติได้จำนวนมากขึ้นและได้พัฒนาระบบธุรกิจผ้าบาติกจน
กลายเป็นสินค้าออกในปี ค.ศ. 1830 ชาวยุโรปได้เลียนแบบผ้าบาติกของชวาและได้ส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาในปี
ค.ศ. 1940 ชาวอังกฤษก็ได้พยายามเลียนแบบให้ดียิ่งขึ้น
เพื่อส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่
19 เป็นต้นมา
ได้มีการทำเครื่องหมายในการพิมพ์ผ้าบาติกโดยทำเป็นแม่พิมพ์โลหะทองแดง ซึ่งเรียกว่า
“จั๊บ”(Cap) ทำให้สามารถผลิตผ้าบาติกได้รวดเร็วขึ้น
ต้นทุนก็ถูกลงทดแทนผ้าบาติกลายเขียนแบบดั้งเดิม
การทำผ้าบาติกด้วยแม่พิมพ์ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์พื้นเมืองในลักษณะของ
อุตสาหกรรมในครัวเรือน ประชาชนก็เริ่มทำผ้าบาติกเป็นอาชีพมากขึ้น
การผลิตผ้าบาติกจากเดิมที่เคยใช้ฝีมือสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว
เริ่มมีผู้ชายเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตโดยเฉพาะการพิมพ์เทียนและการย้อมสี
สำหรับการแต้มสีลวดลายยังใช้ฝีมือสตรี เช่นเดิม
ความนิยมในการใช้ผ้าบาติกโดยเกาะชวา
เมื่อก่อนใช้กันเฉพาะสตรีและเด็กเท่านั้น ต่อมาได้ใช้เป็น
เครื่องแต่งกายของหนุ่มสาวมี 3 ชนิด คือ
1.โสร่ง (Sarong) เป็นผ้าที่ใช้นุ่ง
โดยการพันรอบตัว ขนาดของผ้าโสร่งโดยทั่วไปนิยมผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 2 หลาครึ่ง ถึง 3 หลาครึ่ง
ผ้าโสร่งมีลักษณะพิเศษคือ ส่วนที่เรียกว่า ”ปาเต๊ะ” หมายถึง ส่วนที่เรียกว่า
หัวผ้า โดยมีลวดลาย สีสันแปลกต่างไปจากส่วนอื่นๆในผ้าผืนเดียวกัน
2. สลินดัง (Salindang) เป็นผ้าซึ่งใช้นุ่งทับกางเกงของบุรุษหรือเรียกว่า
“ผ้าทับ” เป็นผ้าที่เน้นลวดลายประดับหรือชายผ้าสลินดังมีความยาวประมาณ 3 หลา กว้างประมาณ 8 นิ้ว
สตรีนิยมนำผ้าสลินดังคลุมศีรษะ
3. อุเด็ง (Udeng) หรือผ้าคลุมศีรษะ
โดยทั่วไปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผ้าชนิดนี้สุภาพบุรุษใช้โพกศีรษะเรียกว่า
”ซุรบาน”สำหรับสตรีจะใช้ทั้งคลุมศีรษะ และปิดหน้าอกเรียกว่า ”เกิมเบ็น” (Kemben)
ผ้าอุเด็งนิยมลวดลายที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยม
ผ้าคลุมชนิดนี้ไม่ปิดบ่าและไหล่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทำงานหนักเพื่อจะได้
เคลื่อนไหวได้สะดวก
สำหรับผ้าสลินดัง
ภายหลังได้ทำขนาดให้ยาวขึ้นโดยใช้ผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 4-5
หลา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นเครื่องแต่งกายอื่นๆ
ได้มีการใช้ผ้าบาติกนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งบุรุษ สตรี เด็ก
ที่ได้พยายามปรับปรุงและพัฒนาการทำผ้าบาติกให้มีความก้าวหน้าไปพร้อมๆ
กับการพัฒนาการด้านอื่นๆ จนกลายเป็นสินค้าที่ถูกใจ
ต่างชาติได้จัดจำหน่ายเป็นสินค้าออก
ซึ่งทำให้ผ้าบาติกและเทคนิคการทำผ้าบาติกแพร่หลายออกไปสู่ประเทศอื่นๆ
อย่างกว้างขวาง
ในประเทศไทยได้มีการทำผ้าบาติกลายพิมพ์เทียนมาก่อนในปี
พ.ศ. 2483 ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
โดยสองสามี-ภรรยาชาวไทยเชื้อสายมลายูชื่อ นายแวมะ แวอาลี และ นางแวเย๊าะ แวอาแด
ในยุคแรกได้ผลิตเป็นผ้าคลุมหัวสไบไหล่(Kain lepas)โดยใช้วิธีแกะสลักลวดลายบนมันเทศและมันสำปะหลังมาทำเป็นแม่พิมพ์
ต่อมาได้ผลิตในรูปแบบของผ้าโสร่งปาเต๊ะ(Batik Sarong)โดยใช้แม่พิมพ์โลหะที่ผลิตในรัฐกลันตัน
ประเทศมาเลเซีย สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในแถบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ต่อมาภายหลัง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้ามามีบทบาทส่งเสริมและเผยแพร่การทำผ้าบาติกพื้นฐาน
ตามแนวเทคนิคของกรมส่งเสริมฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักนิยมใช้โซดาแอสเป็นสารกันสีตก
ทางภาคเหนือของไทยได้มีการทำผ้าบาติกมานาน
จะรู้จักในนามผ้าบาติกใยกัญชาย้อมด้วยสีอินดิโก้
เพียงสีเดียวโดยฝีมือของชาวเขาเผ่าม้งในภาคเหนือ
ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะได้รับอิทธิพลศิลปะบาติกจากประเทศจีนตอนใต้
ปลายปี พ.ศ. 2523 ประเทศไทยได้กำเนิด
“ผ้าบาติกลายเขียนระบายสี” (Painting Batik)ซึ่ง
เป็นผ้าติกที่เขียนลายเทียนด้วยจันติ้ง (Cantimg) ระบายสีลวดลายบนผืนผ้าทั้งผืนด้วยพู่กัน
ไม่มีการย้อมสีโดยใช้สี REACTIVE DYES จากประเทศมาเลเซีย
ผลิตในเยอรมันแล้วเคลือบกันสีตกด้วยโซเดียมซิลิเกตเป็นสารกันสีตกแบบถาวร โดย
นายเอกสรรค์ อังคารวัลย์ เป็นคนแรกที่ได้นำวิธิการทำผ้าบาติกแบบระบายมาเผยแพร่วิธีการทำผ้าบาติกแนว
ใหม่นี้ โดยศึกษามาจากประเทศมาเลเซีย
และได้แพร่เป็นวิทยาธารเพื่อการศึกาครั้งแรกแก่คณาจารย์ภาควิชาศิลปะ
คณะวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูยะลา(ผศ.นันทา โรจนอุดมศาสตร์
เป็นหัวหน้าภาควิชาในขณะนั้น) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ได้มีการสอนการทำผ้าบาติกแก่นักศึกษาวิทยาลัยครูยะลาในเรื่องบาติกลายเขียนและบาติกย้อมสี
พ.ศ. 2524 วิทยาลัยครูยะลาได้เริ่มทดลองทำผ้าบาติกลายเขียนระบายสี
และสอนการทำผ้าบาติกเป็นกิจกรรมในรายวิชาเลือกของหลักสูตร ปกส.สูง วิชาเอกศิลปกรรม
พ.ศ. 2525 สอนการทำผ้าบาติกในรายวิชาศิลปะพื้นบ้าน
ในระดับปริญญาตรีศิลปศึกษา และได้ทำการสอนต่อมาในรายวิชาบาติก
วิชาเอกออกแบบประยุกต์ศิลป์ ระดับอนุปริญญาจนถึงปัจจุบัน
วิทยาลัยครูยะลาได้ทำการเผยแพร่ความรู้ทางด้านบาติแก่ชุมชน
โดยเขียนเป็นบทความลงหนังสือพิมพ์ วารสาร และทางสถานีโทรทัศน์ นอกจากนี้
ยังมีการจัดอบรมและจัดนิทรรศการเผยแพร่ การทำผ้าบาติกทั้งลายเขียนและลายพิมพ์
ตามช่วงระยะเวลาดังนี้ กันยายน พ.ศ. 2527 ร่วมแสดงนิศการผ้าบาติก
และสาธิตในงาน “กระจูด” ณ จังหวัดนราธิวาส จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
เป็นการแสดงเทคนิคการทำบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก เมษายน
พ.ศ. 2528 ร่วมจัดนิทรรศการและสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสีและบาติกลาย
พิมพ์ ในงานศิลปวัฒธรรมพื้นบ้านทั่วประเทศ ณ
จังหวัดภูเก็ต(เป็นช่วงเวลาที่บาติกลายเขียนเทียนเริ่มเข้าจังหวัดภูเก็ต
เป็นครั้งแรก โดยมี อ.ชูชาต ระวิจันทร์(ลุงชู)
อาจารย์หัวหน้าคณะภาควิชาเอกศิลปกรรม
วิทยาลัยครูภูเก็ตขณะนั้นเป็นผู้สืบสานต่อในจังหวัดแถบทะเลอันดามัน พฤษภาคม พ.ศ. 2529
ร่วมจัดนิทรรศการ และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ในงานมหกรรม
ศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศ ณ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ พ.ศ. 2531 ร่วมจัดนิทรรศการ
และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ณ สวนอัมพร กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังได้เดินทางไปจัดนิทรรศการ
และสาธิตในกรุงมหานครอีกหลายครั้ง อันมีผลทำให้บาติกลายเขียนเทียนระบายสีเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
และเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลลิขสิทธิ์
สืบสานศิลปะ วัฒนธรรม อัตลักษณ์ท้องถิ่นปักษ์ใต้
เราอยากเห็นคนไทย “ภูมิใจ” เวลาใช้ของไทย
นี่คือ “แบรนด์ไทยและฉันภูมิใจกับมัน”
I see Thai people “proud” at the time of use in Thailand.
This is a “Thai brand and I’m proud of it.”
ปาเต๊ะไทยแลนด์
เราคือผู้ผลิต ปาเต๊ะสยาม งานแฮนเมด 100%
🔸Facebook Page : ปาเต๊ะไทยแลนด์
🔸Tell. 081-598-6409/
080-703-4950
🔸ID Line : 0807034950
🔸Instagram : handmand_thailand
🔸Google Map : ร้านนินาปาเต๊ะ (ปาเต๊ะไทยแลนด์)
🔸Youtube : ปาเต๊ะไทยแลนด์ (ผ้าปาเต๊ะ-สุไหงโกลก)
🔸Twitter : https://twitter.com/BatikThailand
🔸Google+ : https://plus.google.com/u/0/collection/EAV1bB
🔸Blogger : https://handmade-thailand.blogspot.com/
สนับสนุนโดย
1.โรงผ้าปาเต๊ะสุไหงโก-ลก (นายเจ๊ะอาแซ บินเจ๊ะอาหลี)
2.อุทยานผ้าปาเต๊ะ (ชุมชนบาโงเปาะเล็ง) สำนักงานเทศบาลสุไหงโก-ลก
3.ร้านนินาปาเต๊ะ (ปาเต๊ะไทยแลนด์) นางสาวเจ๊ะอัสรีนา บินเจ๊ะอาหลี
ข้อมูลผู้ประกอบการ
กลุ่มผ้าปาเต๊ะ
ชื่อประธานกลุ่ม/เจ้าของกิจการ นาย เจ๊ะอาแซ บินเจ๊ะอาหลี [9610000008]
โทรศัพท์บ้าน 073618465
โทรศัพท์มือถือ 073616208
ที่อยู่
342 ถนนทรายทอง
4 อำเภอสุไหงโกลก ตำบลสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส 96120
ข้อมูลผลิตภัณฑ์
ชื่อผลิตภัณฑ์
ผ้าปาเต๊ะ
รหัสผลิตภัณฑ์ 9610000008-0001
ปีที่จดทะเบียน 2557
ผลิตภัณฑ์หลักผ้าและเครื่องแต่งกาย
การจัดการแบ่งกลุ่มประเภทผลิตภัณฑ์ตามคุณลักษณะผลิตภัณฑ์
ด้านคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากล
(เช่น GMP/GAP)
ด้านศักยภาพการผลิต
มีศักยภาพในการผลิตสูง
สามารถผลิตซ้ำในปริมาณและคุณภาพคงเดิม
ด้านกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ใช้
ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน
1.มีการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบะบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
2.มีรูปแบบหรือการออกแบบที่มีความโดนเด่นเฉพาะตัว ใช้ภูมิปัญญา ศิลปะ
ด้านการตลาดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์
1.มีราคาสูง
Niche Market
2.มีจำหน่ายเฉพาะในตลาด/ร้านค้าภูมิภาค ร้านของฝากของจังหวัด
3.จำหน่ายเฉพาะในร้านค้าชุมชน
กำลังการผลิต
ผลิตได้จำนวน 500 ต่อเดือน
ราคา
ราคาจำหน่ายปลีกต่อชิ้น
250.00 บาท
ราคาจำหน่ายส่งต่อชิ้น 220.00 บาท