วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ผ้าปาเต๊ะ-สุไหงโกลก

 ประวัติศาสตร์ ศิลปะบนผืนผ้า

          ผ้าบาติกหรือผ้าปาเต๊ะ เป็นคำที่เรียกผ้าชนิดที่มีการทำโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี และใช้วิธีการแต้ม ระบาย หรือย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี ผ้าบาติกบางชิ้นอาจจะผ่านขั้นตอนการปิดเทียน แต้มสี ระบายสี และย้อมสีนับสิบๆครั้ง ส่วนผ้าบาติกอย่างง่ายอาจทำโดยการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียน แล้วจึงนำไปย้อมสีที่ต้องการ
          คำว่า”บาติก” ( Batik) หรือ “ปาเต๊ะ” ( Batek) มาจากคำว่า Ba = Art และ Tik = จุด เดิมเป็นคำในภาษาชวา ใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายเป็นจุด คำว่า “ติก” มีความหมายว่า เล็กน้อยหรือจุดเล็กๆมีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า ตริติก หรือตาริติก ดังนั้นคำว่า บาติก จึงมีความหมายว่าเป็นงานศิลปะบนผ้าที่มีลวดลายเป็นจุดด่างๆ
วิธีการทำผ้าบาติกในสมัยดั้งเดิมใช้วิธีการเขียนด้วยเทียน (Wax writing /Wax hand draw) ดังนั้น ผ้าบาติกจึงเป็นลักษณะผ้าที่มีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดในส่วนที่ไม่ต้อง การให้ติดสี และใช้วิธีระบาย แต้มและย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี แม้ว่าวิธีการทำผ้าบาติกในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตามแต่ลักษณะเฉพาะ ประการหนึ่งของผ้าบาติก ก็คือ จะต้องมีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีหรือส่วนที่ไม่ ต้องการให้ติดสีซ้ำอีก
แหล่งกำเนิด
          แหล่งกำเนิดของผ้าบาติกมาจากไหนยังไม่เป็นที่ยุติ นักวิชาการชาวยุโรป หลายคนเชื่อว่ามีในอินเดียก่อนแล้วจึงแพร่หลายเข้าไปในอินโดนีเซีย อีกหลายคนเชื่อว่ามาจากอียิปหรือเปอร์เซีย
แม้ว่าจะได้มีการค้นพบผ้าบาติกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศอื่นๆ ทั้งอียิป อินเดีย และญี่ปุ่น แต่บางคนก็ยังเชื่อว่า ผ้าบาติกเป็นของดั้งเดิมของอินโดนีเซีย และยืนยันว่าศัพท์เฉพาะที่เรียกวิธีการและขั้นตอนการทำผ้าบาติก เป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย สีที่ใช้ย้อมก็เป็นพืชที่มีในประเทศอินโดนีเซีย แท่งขี้ผึ้งที่ใช้เขียนลายก็เป็นของอินโดนีเซีย ไม่เคยมีในอินเดียเลย เทคนิคที่ใช้ในอินโดนีเซียสูงกว่าที่ทำกันในอินเดีย และจากการศึกษาค้นคว้าของ N.J. Kron นักประวัติศาสตร์ชาวดัทช์ ก็สรุปไว้ว่าการทำโสร่งบาติกหรือโสร่งปาเต๊ะ เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนติดต่อกับอินเดีย
          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือบุหงารำไปหน้า 1 ไว้ว่า แม้ว่าจะมีการค้นพบลักษณะผ้าบาติกในดินแดนอื่นๆ นอกจากอินโดนีเซีย แต่ก็คงเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่น วิธีการปลีกย่อยจะแตกต่างกัน ตามวิธีการทำผ้าของชาติต่างๆ ที่จะให้มีลวดลายสีสันผ้าบาติกของอินโดนีเซียก็น่าจะ มีกำเนิดในอินโดนีเซียเอง คงไม่ได้รับการถ่ายทอดจากชาติอื่นๆส่วนการทำผ้าโปร่งบาติกนั้นคงมีกำเนิดจากอินโดนีเซียค่อนข้างแน่นอน
วิวัฒนาการการทำผ้าบาติกในอินโดนีเซีย
          การทำผ้าบาติกในระยะเวลาแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงหรือทำเฉพาะในวังแต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่า น่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ ผู้ที่ทำผ้าบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนา
          ในคริสต์ศวรรษที่ 12 ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติกด้านการแก้ไขวิธีการผสมสี แต่ทั้งนี้ก็วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 การทำผ้าบาติกผูกขาดโดยสุลต่านและถือว่าการทำผ้าบาติกเป็นศิลปะในราชสำนัก โดยมีสตรีในราชสำนักเป็นผู้ผลิต ผ้าบาติกในยุคนี้เรียกว่า “คราทอน” (Karton) เป็นผ้าบาติกที่เขียนด้วยมือ( Batik Tulis ) แต่เมื่อผ้าบาติกได้รับความนิยมมากขึ้นและมีลูกค้ามากมาย การทำผ้าบาติกได้ขยายวงกว้าง มากขึ้นการผูกขาดโดยครอบครัวสุลต่านก็สิ้นสุดลงศิลปะการทำผ้าบาติก ได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไป
          ผ้าบาติกในระยะแรกมีเพียงสีครามและสีขาว ในศตวรรษที่ 17 ได้มีการค้นพบสีต่างๆอีก เช่น สีแดง สีน้ำตาล สีเหลือง สีต่างๆ เหล่านี้ได้มาจากพืชทั้งสิ้น ต่อมาก็รู้จักผสมสีเหล่านี้ทำให้ออกมาเป็นสีต่างๆ ภายหลังจึงมีการค้นพบสีม่วง สีเขียว และสีอื่นๆ อีกในระยะปลายศตวรรษที่ 17 ได้มีการสั่งผ้าลินินสีขาวจากต่างประเทศเข้ามา นับเป็นความก้าวหน้าในการทำผ้าบาติกอีกก้าวหนึ่งโดยเฉพาะเทคนิคการระบายสี ผ้าบาติก เพราะเริ่มมีการใช้สีเคมีในการย้อมการระบายสี ซึ่งสามารถทำให้ผลิตผ้าบาติได้จำนวนมากขึ้นและได้พัฒนาระบบธุรกิจผ้าบาติกจน กลายเป็นสินค้าออกในปี ค.ศ. 1830 ชาวยุโรปได้เลียนแบบผ้าบาติกของชวาและได้ส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาในปี ค.ศ. 1940 ชาวอังกฤษก็ได้พยายามเลียนแบบให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาเช่นเดียวกัน
          ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้มีการทำเครื่องหมายในการพิมพ์ผ้าบาติกโดยทำเป็นแม่พิมพ์โลหะทองแดง ซึ่งเรียกว่า “จั๊บ”(Cap) ทำให้สามารถผลิตผ้าบาติกได้รวดเร็วขึ้น ต้นทุนก็ถูกลงทดแทนผ้าบาติกลายเขียนแบบดั้งเดิม การทำผ้าบาติกด้วยแม่พิมพ์ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์พื้นเมืองในลักษณะของ อุตสาหกรรมในครัวเรือน ประชาชนก็เริ่มทำผ้าบาติกเป็นอาชีพมากขึ้น การผลิตผ้าบาติกจากเดิมที่เคยใช้ฝีมือสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว เริ่มมีผู้ชายเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตโดยเฉพาะการพิมพ์เทียนและการย้อมสี สำหรับการแต้มสีลวดลายยังใช้ฝีมือสตรี เช่นเดิม
          ความนิยมในการใช้ผ้าบาติกโดยเกาะชวา เมื่อก่อนใช้กันเฉพาะสตรีและเด็กเท่านั้น ต่อมาได้ใช้เป็น เครื่องแต่งกายของหนุ่มสาวมี 3 ชนิด คือ
1.โสร่ง (Sarong) เป็นผ้าที่ใช้นุ่ง โดยการพันรอบตัว ขนาดของผ้าโสร่งโดยทั่วไปนิยมผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 2 หลาครึ่ง ถึง 3 หลาครึ่ง ผ้าโสร่งมีลักษณะพิเศษคือ ส่วนที่เรียกว่า ”ปาเต๊ะ” หมายถึง ส่วนที่เรียกว่า หัวผ้า โดยมีลวดลาย สีสันแปลกต่างไปจากส่วนอื่นๆในผ้าผืนเดียวกัน
2. สลินดัง (Salindang) เป็นผ้าซึ่งใช้นุ่งทับกางเกงของบุรุษหรือเรียกว่า “ผ้าทับ” เป็นผ้าที่เน้นลวดลายประดับหรือชายผ้าสลินดังมีความยาวประมาณ 3 หลา กว้างประมาณ 8 นิ้ว สตรีนิยมนำผ้าสลินดังคลุมศีรษะ
3. อุเด็ง (Udeng) หรือผ้าคลุมศีรษะ โดยทั่วไปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผ้าชนิดนี้สุภาพบุรุษใช้โพกศีรษะเรียกว่า ”ซุรบาน”สำหรับสตรีจะใช้ทั้งคลุมศีรษะ และปิดหน้าอกเรียกว่า ”เกิมเบ็น” (Kemben) ผ้าอุเด็งนิยมลวดลายที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยม ผ้าคลุมชนิดนี้ไม่ปิดบ่าและไหล่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทำงานหนักเพื่อจะได้ เคลื่อนไหวได้สะดวก
          สำหรับผ้าสลินดัง ภายหลังได้ทำขนาดให้ยาวขึ้นโดยใช้ผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 4-5 หลา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นเครื่องแต่งกายอื่นๆ ได้มีการใช้ผ้าบาติกนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งบุรุษ สตรี เด็ก ที่ได้พยายามปรับปรุงและพัฒนาการทำผ้าบาติกให้มีความก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับการพัฒนาการด้านอื่นๆ จนกลายเป็นสินค้าที่ถูกใจ ต่างชาติได้จัดจำหน่ายเป็นสินค้าออก ซึ่งทำให้ผ้าบาติกและเทคนิคการทำผ้าบาติกแพร่หลายออกไปสู่ประเทศอื่นๆ อย่างกว้างขวาง
          ในประเทศไทยได้มีการทำผ้าบาติกลายพิมพ์เทียนมาก่อนในปี พ.ศ. 2483 ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยสองสามี-ภรรยาชาวไทยเชื้อสายมลายูชื่อ นายแวมะ แวอาลี และ นางแวเย๊าะ แวอาแด ในยุคแรกได้ผลิตเป็นผ้าคลุมหัวสไบไหล่(Kain lepas)โดยใช้วิธีแกะสลักลวดลายบนมันเทศและมันสำปะหลังมาทำเป็นแม่พิมพ์ ต่อมาได้ผลิตในรูปแบบของผ้าโสร่งปาเต๊ะ(Batik Sarong)โดยใช้แม่พิมพ์โลหะที่ผลิตในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในแถบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ต่อมาภายหลัง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้ามามีบทบาทส่งเสริมและเผยแพร่การทำผ้าบาติกพื้นฐาน ตามแนวเทคนิคของกรมส่งเสริมฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักนิยมใช้โซดาแอสเป็นสารกันสีตก ทางภาคเหนือของไทยได้มีการทำผ้าบาติกมานาน จะรู้จักในนามผ้าบาติกใยกัญชาย้อมด้วยสีอินดิโก้ เพียงสีเดียวโดยฝีมือของชาวเขาเผ่าม้งในภาคเหนือ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะได้รับอิทธิพลศิลปะบาติกจากประเทศจีนตอนใต้
ปลายปี พ.ศ. 2523 ประเทศไทยได้กำเนิด “ผ้าบาติกลายเขียนระบายสี” (Painting Batik)ซึ่ง เป็นผ้าติกที่เขียนลายเทียนด้วยจันติ้ง (Cantimg) ระบายสีลวดลายบนผืนผ้าทั้งผืนด้วยพู่กัน ไม่มีการย้อมสีโดยใช้สี REACTIVE DYES จากประเทศมาเลเซีย ผลิตในเยอรมันแล้วเคลือบกันสีตกด้วยโซเดียมซิลิเกตเป็นสารกันสีตกแบบถาวร โดย นายเอกสรรค์ อังคารวัลย์ เป็นคนแรกที่ได้นำวิธิการทำผ้าบาติกแบบระบายมาเผยแพร่วิธีการทำผ้าบาติกแนว ใหม่นี้ โดยศึกษามาจากประเทศมาเลเซีย และได้แพร่เป็นวิทยาธารเพื่อการศึกาครั้งแรกแก่คณาจารย์ภาควิชาศิลปะ คณะวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูยะลา(ผศ.นันทา โรจนอุดมศาสตร์ เป็นหัวหน้าภาควิชาในขณะนั้น) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ได้มีการสอนการทำผ้าบาติกแก่นักศึกษาวิทยาลัยครูยะลาในเรื่องบาติกลายเขียนและบาติกย้อมสี พ.ศ. 2524 วิทยาลัยครูยะลาได้เริ่มทดลองทำผ้าบาติกลายเขียนระบายสี และสอนการทำผ้าบาติกเป็นกิจกรรมในรายวิชาเลือกของหลักสูตร ปกส.สูง วิชาเอกศิลปกรรม
พ.ศ. 2525 สอนการทำผ้าบาติกในรายวิชาศิลปะพื้นบ้าน ในระดับปริญญาตรีศิลปศึกษา และได้ทำการสอนต่อมาในรายวิชาบาติก วิชาเอกออกแบบประยุกต์ศิลป์ ระดับอนุปริญญาจนถึงปัจจุบัน วิทยาลัยครูยะลาได้ทำการเผยแพร่ความรู้ทางด้านบาติแก่ชุมชน โดยเขียนเป็นบทความลงหนังสือพิมพ์ วารสาร และทางสถานีโทรทัศน์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมและจัดนิทรรศการเผยแพร่ การทำผ้าบาติกทั้งลายเขียนและลายพิมพ์ ตามช่วงระยะเวลาดังนี้ กันยายน พ.ศ. 2527 ร่วมแสดงนิศการผ้าบาติก และสาธิตในงาน “กระจูด” ณ จังหวัดนราธิวาส จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการแสดงเทคนิคการทำบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก เมษายน พ.ศ. 2528 ร่วมจัดนิทรรศการและสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสีและบาติกลาย พิมพ์ ในงานศิลปวัฒธรรมพื้นบ้านทั่วประเทศ ณ จังหวัดภูเก็ต(เป็นช่วงเวลาที่บาติกลายเขียนเทียนเริ่มเข้าจังหวัดภูเก็ต เป็นครั้งแรก โดยมี อ.ชูชาต ระวิจันทร์(ลุงชู) อาจารย์หัวหน้าคณะภาควิชาเอกศิลปกรรม วิทยาลัยครูภูเก็ตขณะนั้นเป็นผู้สืบสานต่อในจังหวัดแถบทะเลอันดามัน พฤษภาคม พ.ศ. 2529 ร่วมจัดนิทรรศการ และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ในงานมหกรรม ศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศ ณ วิทยาลัยครูเชียงใหม่ พ.ศ. 2531 ร่วมจัดนิทรรศการ และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ณ สวนอัมพร กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังได้เดินทางไปจัดนิทรรศการ และสาธิตในกรุงมหานครอีกหลายครั้ง อันมีผลทำให้บาติกลายเขียนเทียนระบายสีเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว และเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลลิขสิทธิ์

สืบสานศิลปะ วัฒนธรรม อัตลักษณ์ท้องถิ่นปักษ์ใต้
เราอยากเห็นคนไทย “ภูมิใจ” เวลาใช้ของไทย
นี่คือ “แบรนด์ไทยและฉันภูมิใจกับมัน”
I see Thai people “proud” at the time of use in Thailand.
This is a “Thai brand and I’m proud of it.”

ปาเต๊ะไทยแลนด์
เราคือผู้ผลิต ปาเต๊ะสยาม งานแฮนเมด
100%
🔸Facebook Page : ปาเต๊ะไทยแลนด์
🔸Tell. 081-598-6409/ 080-703-4950
🔸ID Line : 0807034950
🔸Instagram : handmand_thailand
🔸Google Map : ร้านนินาปาเต๊ะ (ปาเต๊ะไทยแลนด์)
🔸Youtube : ปาเต๊ะไทยแลนด์ (ผ้าปาเต๊ะ-สุไหงโกลก)
🔸Twitter : https://twitter.com/BatikThailand
🔸Google+ : https://plus.google.com/u/0/collection/EAV1bB
🔸Blogger : https://handmade-thailand.blogspot.com/
สนับสนุนโดย

1.โรงผ้าปาเต๊ะสุไหงโก-ลก (นายเจ๊ะอาแซ บินเจ๊ะอาหลี)
2.อุทยานผ้าปาเต๊ะ (ชุมชนบาโงเปาะเล็ง) สำนักงานเทศบาลสุไหงโก-ลก
3.ร้านนินาปาเต๊ะ (ปาเต๊ะไทยแลนด์) นางสาวเจ๊ะอัสรีนา บินเจ๊ะอาหลี

ข้อมูลผู้ประกอบการ
กลุ่มผ้าปาเต๊ะ
ชื่อประธานกลุ่ม/เจ้าของกิจการ นาย เจ๊ะอาแซ บินเจ๊ะอาหลี [9610000008]
โทรศัพท์บ้าน 073618465
โทรศัพท์มือถือ 073616208

ที่อยู่
342 ถนนทรายทอง 4 อำเภอสุไหงโกลก ตำบลสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส 96120

ข้อมูลผลิตภัณฑ์
ชื่อผลิตภัณฑ์ ผ้าปาเต๊ะ
รหัสผลิตภัณฑ์ 9610000008-0001
ปีที่จดทะเบียน 2557
ผลิตภัณฑ์หลักผ้าและเครื่องแต่งกาย

การจัดการแบ่งกลุ่มประเภทผลิตภัณฑ์ตามคุณลักษณะผลิตภัณฑ์
ด้านคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์
ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากล (เช่น GMP/GAP)

ด้านศักยภาพการผลิต
มีศักยภาพในการผลิตสูง สามารถผลิตซ้ำในปริมาณและคุณภาพคงเดิม

ด้านกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ใช้
ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน


ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์
1.มีการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบะบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
2.มีรูปแบบหรือการออกแบบที่มีความโดนเด่นเฉพาะตัว ใช้ภูมิปัญญา ศิลปะ

ด้านการตลาดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์
1.มีราคาสูง Niche Market
2.มีจำหน่ายเฉพาะในตลาด/ร้านค้าภูมิภาค ร้านของฝากของจังหวัด
3.จำหน่ายเฉพาะในร้านค้าชุมชน

กำลังการผลิต
ผลิตได้จำนวน 500 ต่อเดือน

ราคา
ราคาจำหน่ายปลีกต่อชิ้น 250.00 บาท
ราคาจำหน่ายส่งต่อชิ้น 220.00 บาท






 

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 16

 ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 16

 ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์

(Online Learning Management System)

  • สมาชิกในกลุ่มได้มีการประชุมทำงานออนไลน์ ผ่าน Google Meet  โดยในครั้งนี้พูดคุยในรูปแบบของเลมรายงานทั้งหมด เก็บรายละเอียดของข้อมูลทั้งหมด ดังนี้  
                             1. ปกนอก ปกใน

                             2. บทคัดย่อ Abstract กิตติกรรมประกาศ

                             3. สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ

                             4. บทที่ 1 บทนำ

                             5. บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง

                             6.  บทที่ 3 วิธีการศึกษา

                             7. บทที่ 4 ผลการศึกษา

                             8. บทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ

                             9. บรรณานุกรม

                             10. ภาคผนวก

                             11. แผนการจัดการเรียนรู้
  • ทำการเพิ่มเนื้อหาของข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ในระบบ https://smp.yru.ac.th/  ให้มีความสมบูรณ์ ตรวจสอบความถูกต้องและความเรียบร้อยของระบบ
  • โดยในครั้งนี้มีการจัดทำรูปเล่มรายงาน ซึ่งในครั้งนี้จะเรียบเรียงให้ความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อเกิดการทำงานรวดเร็วและอย่างระเบียบเรียบร้อย อีกยังทั้งเกิดการทำงานกันเป็นทีม และสรุปประเด็นสำคัญลงในเว็บบล็อกขั้นตอนสุดท้าย ในการทำงานครั้งนี้

ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 15

ผลการเรียนรู้ครั้งที่15

ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์

30 กันยายน 2564



     วันที่ 30 กันยายน 2564 ทางฝ่ายฝึกได้ขออนุญาติอาจารย์รายวิชาแต่ละท่านให้งดการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษานั้นได้สังเกตการสอนของโรงเรียน
    อาจารย์ ดร.ศิริชัย นามบุรี ได้ยกคลาสในสัปดาห์นี้พร้อมให้แต่กลุ่มของโครงงานทำงานกลุ่มให้คืบหน้าในครั้งนี้ทางกลุ่มเราได้มีนัดประชุมการทำงานโดยใช้ Google meet ในการประชุม

ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 14

ผลการเรียนรู้ครั้งที่14

ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์

23 กันยายน 2564

     ในวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน อาจารย์ได้มอบหมายให้แต่ละกลุ่มทำโครงงานและระบบSMP ตามหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งกลุ่มเราได้ร่วมกันทำในส่วนของระบบที่ตัวเองได้รับผิดชอบ



ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 13

                                                                  ผลการเรียนรู้ครั้งที่13


ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์

16 กันยายน 2564

      ให้นักศึกษาทุกคนเข้าห้อง Google Meet เวลา 09.30 น. ซึ่งในวันนี้จะมีการนำเสนอความก้าวหน้าของโครงงานในบทที่ 2 และะบทที่ 3 รวมไปถึงระบบSMP




โดยแต่ละกลุ่มมีหัวข้อนำเสนอ ดังต่อไปนี้      

     กลุ่มที่ 7 เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เรื่องประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล วิชา วิทยาการคำนวณ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3

     กลุ่มที่ 3 เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เรื่อง ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำงานร่วมกันอย่างปลอดภัย วิชา วิทยาการคำนวณ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6

     กลุ่มที่ 5  เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4

     กลุ่มที่ 4 เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เรื่อง องค์ประกอบหลักการทำงานระบบคอมพิวเตอร์ รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2

     กลุ่มที่ 1  เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ รายวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 

     กลุ่มที่ 2 เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี วิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3

     กลุ่มที่ 6 เรื่อง การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เรื่อง การเทคโนโลยีอย่างปลอดภัย รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1

ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 12

 ผลการเรียนรู้ครั้งที่12


ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์

9 กันยายน 2564

     ในวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน อาจารย์ให้ประชุมเพื่อเตรียมนำเสนอในสัปดาห์ถัดไป ซึ่งกลุ่มของเราได้มีการแบ่งการทำงานทำงานดังนี้

1.ตรวจสอบความคืบหน้าของระบบ SMP และเล่มรายงาน โดยแบ่งหน้าที่ตามที่ตัวเองได้รับผิดชอบ


2.ทางกลุ่มได้แบ่งหน้าที่ทำสไลด์เพื่อนำเสนอในสัปดาห์ถัดไป ในบทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา




ผลการเรียนรู้ครั้งที่ 11

ผลการเรียนรู้ครั้งที่11

ระบบการจัดการเรียนรู้ออนไลน์

2 กันยายน 2564

     โดยวันนี้อาจารย์ได้มอบหมายให้นักศึกษาทำงานในส่วนของโครงงานและพัฒนาระบบ SMP ทางกลุ่มเราได้มีการประชุมออนไลน์ผ่านโปรแกรม Google meet  เพื่อปรึกษาหารือกันเพื่อแบ่งการทำงานในแต่ละส่วน
โดยจะแบ่งการทำงาน ดังนี้

บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง มีหัวข้อย่อยดังนี้
     -ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ออนไลน์ 
     -ระบบอีเลิร์นนิ่ง 
     -ขั้นตอนการพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง 
     (ฮาฟิลดา)
     -เนื้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 
     -งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
     (นิฮานีฟะห์) 


บทที่ 3 วิธีดำเนินการศึกษา 
     การวิเคราะห์ (Analysis) 
     การออกแบบ (Design) 
     การพัฒนา (Development) 
     การนำไปใช้ (Implementation) 
     การประเมินผล (Evaluation)
     (อามีน มูฮำหมัดไฟรุล สุไลมาน)